เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ธ.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราขวนขวายกันนะ เราพยายามขวนขวายมาเพื่อทำบุญกุศลของเรา ถ้าทำบุญกุศลของเรา ถ้าเป็นบุญกุศลนะ สิ่งที่เป็นบุญกุศลมันเป็นความสุข เป็นความดีงามของเรา ถ้าความดีงามของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนถึงสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตมันรับรู้ได้ รู้สุขรู้ทุกข์ได้ แต่ธรรมะมันรู้ดีรู้ชั่ว แต่รู้สุขรู้ทุกข์ เรารู้สุขรู้ทุกข์แล้วเราต้องการของเรา นี่สิ่งที่มีชีวิต มันมีอายตนะมันรับรู้ได้ มันรับรู้ทางตา ทางจมูก ทางหู ทางลิ้น ทางกาย สิ่งที่สัมผัสได้ๆ

ฉะนั้น สิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่มันมีคุณค่ามากนะ ถ้ามีคุณค่ามาก ถ้ามีการศึกษา มันรู้สุขรู้ทุกข์ รู้สุขรู้ทุกข์ แต่ถ้ามันมีธรรมะ เห็นไหม รู้ดีรู้ชั่ว รู้ดีรู้ชั่ว ถ้ารู้ดีรู้ชั่ว สิ่งที่เป็นความชั่วเราไม่ไปแตะต้องมัน เราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา แล้วความดีมันเป็นอะไรล่ะ ความดีมันคืออะไรล่ะ ถ้าความดีตัณหาความทะยานอยากของเรา จิตใจเราหยาบใช่ไหม จิตใจเราหยาบมันต้องการสิ่งใด มันปรารถนาสิ่งใดมันก็เป็นความดีความถูกต้องของมันเพราะมันอยากได้ แต่ถ้ามันเป็นธรรมะ มันความอยากได้ นี่เป็นความดีของเรา

แต่ถ้าความดีเขาวัดด้วยศีล ดูชาวพุทธๆ ชาวพุทธของเราต้องมีศีลอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ธรรมชาติเพราะหลวงปู่ฝั้นท่านพูดเอง คนเกิดมามี ๑ ศีรษะ ๒ แขน ๒ เท้า เห็นไหม มีศีล ๕ ศีล ๕ มันมีประจำหัวใจของเราอยู่แล้ว ถ้ามีประจำหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบัญญัติศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เพราะมีคนทำผิดท่านถึงได้บัญญัติขึ้นมา แต่เดิมๆ ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปขอศีลมาจากใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมาจากใคร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมโดยชอบ โดยความชอบธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความชอบธรรมอันนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบุญญาธิการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงขวนขวายอย่างนั้นได้ ไอ้อย่างพวกเราสาวกสาวกะได้ยินได้ฟัง มีพ่อมีแม่คอยคุ้มครองดูแล มันยังแถๆ มันถึงเอาศีลมาคุ้มครองไง เป็นรั้วกั้นไง ถ้าเราเป็นคนดีต้องมีศีลไหม

ถ้าศีล ๕ ศีล ๕ ปาณาติปาตา ไม่ก้าวล่วงใครทั้งสิ้น ไม่ทำลายใครทั้งสิ้น ไม่ทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจทั้งสิ้น นี่ปาณาติปาตา ฆ่าสัตว์ให้ตกล่วงถึงผิดศีล ของของเขา ลักของเขา ลักของเขาโดยเจ้าของไม่ได้ให้ ถ้าไปผิดคู่ครองของคนอื่น แล้วไอ้พูดปดๆ ถ้ามันพูดปด พูดถ้าไม่ซื่อสัตย์กับตนเอง มันพูด นี่คนที่เขามีศีลมีธรรมของเขา เขามีอำนาจวาสนาบารมีของเขา เขาพูดตรงไปตรงมา คำว่า “ตรงไปตรงมา” คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น ไอ้ของเรานี่ข้างๆ คูๆ เวลาศีล ๕ ศีล ๕ น้ำเมานั่นน่ะตัวร้าย สิ่งมึนเมาทั้งหมด ถ้าสิ่งมึนเมาทั้งหมดทำให้คนขาดสติ ทำให้คนทำอะไรก็ได้นะ แต่ถ้าพอมันผิดศีลไป นี่ไง ถ้ามันผิดศีลผิดธรรม

ถ้ามันมีศีลมีธรรมของเราขึ้นมา ถ้าพุทธศาสนาสอนสอนที่นี่ สอน ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่นะ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตของเรา ชีวิตของเรามันรู้สุขรู้ทุกข์ได้ สิ่งที่มีชีวิตถ้าไม่มีวิญญาณครอง ต้นไม้มันยังแข่งขันกัน ต้นไม้มันยังแข่งแย่งแดด แย่งอาหารกัน ต้นไม้มันไม่มีชีวิตมันยังแข่งขันกันเลย แล้วคนที่มีชีวิต แล้วชีวิตของเราเอามาทำอะไร ชีวิตเราเกิดมา เกิดมาทำไม ถ้าเกิดมานะ เกิดมาก็เพื่อความรู้แจ้งในใจไง เกิดมาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ไง ถ้าพ้นจากทุกข์ อะไรจะพ้นจากทุกข์ล่ะ ก็หัวใจนี้พ้นจากทุกข์ ใครจะพ้นจากทุกข์

ไปอยู่ไหนมันก็ไปทุกข์อยู่ที่นั่นน่ะ ความทุกข์ ทุกข์เป็นอริยสัจ นี่พูดถึงความทุกข์เป็นอริยสัจนะ อริยสัจเพราะมีสติมีปัญญา มีศีล มีสมาธิ แล้วมีปัญญาขึ้นมามันจะไปค้นคว้าทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่ถ้ามันมีสติมีปัญญาเป็นอย่างนั้น

แต่คนที่ยังไม่มีสติปัญญาขนาดนั้น มันไม่ได้มองเห็นขนาดนั้นหรอก มันเห็นแต่ว่าอำนาจวาสนาบารมีของตน ดูสิ สิ่งที่โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มันว่าสิ่งนั้นประสบความสำเร็จ สิ่งนั้นจะมีความสุข ทุกคนจินตนาการว่าถ้าฉันสมบูรณ์ ฉันมีทุกอย่างพร้อมแล้วจะมีความสุข ไม่มีใครมีความสุขจริงสักคนหนึ่ง

จะเป็นยาจกเข็ญใจนะ จะเป็นเศรษฐีกุฎุมพีนะ จะดื่มน้ำด้วยกะลา จะดื่มน้ำด้วยจอกทองคำ ถึงเวลาแล้วต้องบ่ายไปทางเดียวกันหมดนะ ต้องตายทั้งนั้นนะ เวลาคนมันจะตาย คนถ้าไม่มีบุญกุศล ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของตน เวลาจะตายมันดิ้นรนน่ะ เวลากรรมนิมิตๆ เวลาคนจะตายดิ้นจนตกเตียง เห็นไหม คนที่เขามีบุญกุศลนะ เขาจะตายนะ ยายจะไปนิมมานรดี ยายจะไปดุสิต ในปัจจุบันนี้มีคนมาพูดเรื่องนี้เยอะมาก มีคนมาคุยให้เราฟังหลายคน แต่เขาก็ไม่กล้าพูดไปเพราะเดี๋ยวหาว่าเยินยอญาติผู้ใหญ่ของเขา เวลาเขาจะไปนะ เขาบอกเขาจะไปเที่ยวนิมมานรดีกันน่ะ มันมีรถมารับ คนตายแบบนี้ตายแบบที่คนตายนะ แต่เหมือนเรา เราจะไปเที่ยวทิพย์สมบัติของเรา เราจะได้ไปอยู่ทิพย์สมบัติของเรา มี ในปัจจุบันก็มี มาพูดให้เราฟังหลายรายแล้ว

นั่นตายเพราะอะไรล่ะ ทำไมเขาตายด้วยความสุขของเขาล่ะ เขาตายด้วยที่ว่าไม่กระวนกระวายเลย บางคนที่ทุกข์จนเข็ญใจ เวลาจะตายดิ้นรนแล้วดิ้นรนอีก มันไม่ยอมไป ต้องฉุดกระชากลากกันจนตกเตียงเลยนะ อย่างนั้นเชียวหรือ

เราคิดของเราอย่างนี้ เวลาเป็นถึงกรรมนิมิต เวลามันเห็นแล้วมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของคนคนนั้นไง ถ้าเป็นเวรกรรมของคนคนนั้น แล้วอะไรเป็นที่พึ่งของเราล่ะ เอาอะไรเป็นที่พึ่ง

เราเป็นชาวพุทธนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย แก้วสารพัดนึก พระธรรมๆ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองเรา ถ้าเรามีศีล ๕ ศีลมันคุ้มครองไง สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา ศีลทำให้สันติ ให้มีความสุขมีความสงบ ศีลทำให้มีเงินมีทองนะ ดูสิ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมันก็อะไรล่ะ เงินทองทั้งนั้นน่ะ เงินทองใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายโดยเกินกว่าเหตุไง เอาแบบพระฉันมื้อเดียว กินข้าววันละหนนี่รวย ทำงานได้ไม่ต้องใช้เลย เก็บเงินไว้นั่นน่ะรวย ไอ้นี่มันใช้กัน นี่ไง รวยเพราะอะไร รวยเพราะมีศีลไง มีศีลมีโภคทรัพย์ไง โภคทรัพย์เพราะมันไม่จ่ายฟุ่มเฟือยไง ถ้าไม่จ่ายฟุ่มเฟือย

“ไอ้นี่มันไม่ได้ คบไม่ได้ถ้าไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หยำเปเหมือนเราคบไม่ได้ ลูกผู้ชายมันต้องเมาหัวราน้ำ” นี่เขาพูดกันไง บอกว่าลูกผู้ชายมองหน้าไม่ได้ เขาไม่ดูสังคมญี่ปุ่นนะ ญี่ปุ่นมันโค้งหัวแล้วโค้งหัวอีก เวลาออกรบสงครามมันกล้าหาญกว่าทุกชาติ คนญี่ปุ่นเขาเจอ เขาโค้งให้ เขาคารวะตลอด แต่เวลาเขาต้องกล้าหาญ เห็นไหม ทหารญี่ปุ่น สงครามโลก ทุกคนเห็นทหารญี่ปุ่น วิ่งหนีเลยล่ะ ไอ้ของเรานักเลงทั้งนั้นน่ะ ต้องส่งไปอยู่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ วิ่งหนีหางจุกตูด

มันไม่จริงน่ะ ถ้ามันจริงทำไมต้องไปอวดอย่างนั้นไง ทำไมต้องไประรานเขา ระรานเขาทำไม ทำไมไม่มีสติปัญญาระรานกิเลสของเรา ในใจของเราไอ้ที่มันถือตัวถือตนว่ามันสำคัญตนๆ เอ็งเก่งมาจากไหน

คนจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกข์จนขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วบ่ายหน้าไปทางเดียวกันหมด พญามัจจุราชเอาไปทั้งนั้นน่ะ แล้วสิ่งที่มีชีวิต เราเกิดมามีชีวิตนะ สิ่งมีชีวิตมันรู้สุขรู้ทุกข์ได้ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชั่วได้ แล้วความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่

เราขวนขวายมานะ เราขวนขวายมาวัดมาวากัน มาทำบุญกุศลของเรา สิ่งที่เสียสละมา สิ่งที่เอามามันมาจากไหนล่ะ ไม่ใช่แรงงานของเราหรือ แรงงานของเราทั้งนั้นน่ะ เราปากกัดตีนถีบหามา แล้วเรามาเสียสละทำไม เรามาเสียสละทำไม เรามาเสียสละเพราะว่าจิตใจเราละเอียดลึกซึ้งขึ้นมาไง สิ่งที่เราเสียสละทานขึ้นมาเพราะหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้มันแค้นใจ หัวใจดวงนี้มันทุกข์มันยาก หัวใจดวงนี้ มันรู้บาปรู้บุญ มันรู้ของมัน มันจะสละของมันไง ทำเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ไง

เราหามาๆ หามาก็เพื่อปากเพื่อท้อง เราเสียสละของเราไปเพื่อประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์กับโลก เพื่อประโยชน์กับโลก เพื่อประโยชน์สมณะ สิ่งที่สมณะ เรามาเสียสละทานของเราเพื่อบุญกุศลของเรา บุญกุศลมันเกิดมาจากไหน บุญกุศลก็ทิพย์สมบัติไง

สิ่งที่โยมทำกันไว้นี่นะ จะกี่ปีกี่ชาติก็แล้วแต่ ลองหลับตาแล้วนึกถึงสิ สดๆ ร้อนๆ ของเน่าของบูดเสียสละไปแล้วเป็นทิพย์ มันไม่เคยบูดเคยเน่า ของที่เราเคยเสียสละทำบุญมากี่ภพกี่ชาติ ลองนึกสิ มันมีบูดมีเน่าไหม มันไม่มีบูดเน่าเลย มันเป็นทิพย์สมบัติไง เราเสียสละออกไปแล้วมันทำบ่อยครั้ง ทำมากขึ้นๆ นะ

อย่างที่โยมมาเล่าให้ฟังน่ะ “ยายจะไปนิมมานรดีแล้วนะ เขามารับแล้วล่ะ” นี่อะไร สิ่งนี้มันเป็นบุญกุศลของเขาไง เขาสะสมมันมาจนอิ่มเต็มในใจของเขาไง เขาไม่มีบาปอกุศลที่จะมาชักลากไปทางต่ำไง เขาไม่มีใครมาดึงเขาไปได้ไง

คนเรานะ เวลาหมดอายุขัย ถ้าครึ่งๆ กลางๆ ต้องไปยมบาลก่อน ไปตัดสินกัน ถ้ามันชั่วมากก็เทวทัต ธรณีสูบไปเลย ถ้ามันดีสุดๆ ก็ไปเลย รถเทียมม้ามารับไปเลย แล้วเขาเห็นของเขา

แล้วบอกว่า “อ้าว! แล้วมันจะประกาศอย่างไร เรานั่งกันอยู่นี่มีคนดีอยู่คนหนึ่งกำลังจะตาย รถม้ามารับ ทุกคนต้องเห็นหมด”...ไม่เห็น เพราะเราดูด้วยตาเนื้อ เราดูด้วยตาเนื้อ เราดูด้วยวุฒิภาวะของเรา เราดูด้วยความไม่เข้าใจของเรา แต่ผู้ที่เขาเห็น ผู้ที่เขาจะไป นั่นสมบัติของเขา มันสว่างกระจ่างแจ้งกับของเขา เพราะเขาต้องไปเสวยภพชาติอย่างนั้น เขาได้เสวยของเขา ไอ้เรามองไม่เห็นหรอก นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนี้ เวลามารับ รับเฉพาะคนคนนั้นคนเดียว แล้วคนนั้นไปได้คนเดียว ไอ้เรานู่น ไปยมบาล ดีหรือชั่ว ผมทำดีหรือทำชั่วครับ ผมต้องไปทางไหนครับ มันไปอย่างนั้นน่ะ

นี่พูดถึงถ้าเรายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ แต่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น เราศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ความรู้ ความรู้มันยังไม่ใช่ความจริงไง ศึกษาเป็นภาคปริยัติ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กามภพ รูปภพ อรูปภพ ผลของวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะเห็นหรือไม่เห็นมันเป็นเรื่องอำนาจวาสนาบารมีของเรา

แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติหูตาสว่างกระจ่างแจ้ง ของมันมีอย่างนั้นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านไม่ได้มาปั้นแต่งสิ่งใดเลย ของอย่างนี้มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว เพียงแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาเห็นความกระจ่างแจ้ง แล้วก็มาเตือนพวกเรา มาบอกพวกเราไง จะเชื่อก็เป็นบุญกุศลของเรา จะไม่เชื่อมันก็เป็นบาปอกุศลของเรา

บุญหรือบาป ธรรมะสอนเรื่องบุญหรือบาป แต่ไอ้รู้สุขรู้ทุกข์นี่เรื่องของเรา ก็มันทิฏฐิมานะไง ไม่เชื่อ ไม่สนใจทั้งสิ้น เวลามันใกล้ตายขึ้นมาพะวักพะวนๆ จะอยู่ก็อยู่ไม่ได้ ต้องตายแน่นอน แต่จะตายก็ทุกข์แสนทุกข์ เพราะอยากจะตายดีๆ อยากจะตายดีๆ แต่มันไม่ทำความดีของมันไว้มันจะตายดีๆ ได้อย่างไร

ถ้ามันจะทำของมันไว้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำของเรานี่แหละ ถ้าการกระทำของเรา ถ้าเรามีการศึกษา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาให้รู้ รู้แล้วปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริง ยิ่งเป็นความจริงแล้วไม่ต้องไปถามใครเลย ปฏิบัติมาให้รู้

แล้วด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากก็มาเถียงกัน ฉันรู้มากกว่า ฉันรู้ละเอียดกว่า ฉันรู้กว้างขวางกว่า...รู้อะไร

รู้ ทำไมไม่เห็นใจของตน

รู้ ทำไมไม่รู้จักตน

รู้ ทำไมยับยั้งสิ่งที่จะอ้าปากพูดออกมาไม่ได้

เอ็งพูดอยู่นี่เอ็งเหนื่อยไหม เอ็งพูดอยู่นี่

พูดอยู่นี่เหนื่อยนะ

แล้วเอ็งพูดทำไม

อยากชนะเขา

ถ้าเอ็งมีสติเอ็งก็ปิดปากเสียสิ ปิดปากความรู้ของเอ็งก็เก็บไว้ในใจของเอ็งสิ มันก็เป็นสมบัติของเอ็ง เอ็งต้องให้ใครมาการันตี ต้องให้ใครมายอมรับ ถ้าความรู้ของเราน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพูดถึงพรหมไม่นิมนต์นะ ท่านจะเก็บไว้ในใจของท่านเลย เพราะเวลามันพูดไปแล้วคนจะเข้าใจได้ยากมาก แต่สุดท้ายแล้วก็ความที่ท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีอันนั้นน่ะ ด้วยการสร้างสมบุญญาธิการมาเพื่อปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ พอมาเปิดตา เปิดตาปัญจวัคคีย์อย่างนี้ เปิดตาใจนะ เปิดตาปัญจวัคคีย์ได้พระอรหันต์มา ๕ องค์ พอเปิดตายสะได้มาอีก ๕๔ ไปเปิดชฎิล ๓ พี่น้องได้มาอีก ๑,๐๐๓

รื้อสัตว์ขนสัตว์ ขนสัตว์จากใจของสัตว์ ใจของสัตว์พ้นจากบ่วงของมาร ใจของสัตว์พ้นจากวัฏฏะ นี่ใจของสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ปรารถนาตรงนี้ไง ถ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยบุญกุศล ด้วยอำนาจวาสนา

ไอ้พวกเรามันก็อยู่ที่เครื่องรับ วิทยุเราถ่านหมด วิทยุของโยมเสีย เปิดไม่ได้ เทศน์อย่างไรมันก็ไม่เข้า ถ้าวิทยุของเราคลื่นมันดี รับมันดีนะ มันเปิดหูเปิดตาขึ้นมา มันมีเสียง มันมีข้อมูล มันมีสติมีปัญญา มีสมอง มันคิด พอมันคิดแล้วมันสะเทือนใจนะ

พอมันสะเทือนใจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแสดงธรรมๆ ขึ้นมา พอมันสะเทือนใจขึ้นมาแล้ววางเลยนะ สิ่งที่ทำๆ อยู่จะไม่ทำอีกแล้ว จะทำแต่คุณงามความดีของเรา

แล้วเวลาทำคุณงามความดีของเราแล้วมันมีความสุขที่ไหนล่ะ เขาทั้งถากทั้งถางว่าโง่เง่าเต่าตุ่น ทำอะไรก็ไม่ทันโลกเขา ไอ้ไม่ทันโลกต้องไปแข่งกับกิเลสใช่ไหม ต้องไปขวนขวายกันใช่ไหม แต่สิ่งที่คนที่มีปัญญาเขาหาอยู่หากินได้ พอหาอยู่หากินได้แล้วเขาต้องมีสติปัญญาพยายามยับยั้งความขับดันของกิเลส ถ้ายับยั้งความขับดันของกิเลส ความขับดันนั้นมันสุขหรือทุกข์ล่ะ มันอยากได้ ดีหรือชั่ว นี่พิจารณาด้วยสติปัญญา

ถ้าดีหรือชั่ว เราคัดเราแยกแยะ ถ้ามันสุขแล้วมันดี ไม่ใช่สุขแล้วมันทุกข์ไง ไม่ใช่สุขแล้วไม่ดีไง สุขที่ไม่ดี พอสุข สุขก็เอาชนะเขา เถียงชนะเขามีความสุข แล้วมันถูกหรือเปล่าล่ะ ดีหรือเปล่าล่ะ แต่ถ้าเถียงชนะเขาแล้วมันดีด้วย เออ! ทั้งสุขด้วยดีด้วย แล้วความดี ความดีที่พัฒนาขึ้น เห็นไหม

ถ้าเรามีสติปัญญา เรียนมาเพื่อรู้ ปฏิบัติมาเพื่อความจริง เรียนมาเพื่อรู้ รู้แล้ว รู้แล้วกิเลสมันยังพลิกแพลงอยู่ รู้แล้วกิเลสมันยังหลอกอยู่ กิเลสมันยังสำคัญตนว่ามันเก่ง มันแน่ มันยอด เขาไม่ต้องการมันก็เที่ยวจะไปสอนเขา ไอ้คนที่ต้องการมันก็ไม่สอน ไอ้คนที่ต้องการมันมีทิฏฐิไง ฉันต้องการๆ แต่ฉันปิดหูของฉันไว้

ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นจริงในหัวใจไง เราเรียนเพื่อรู้ ปฏิบัติเพื่อความจริง ปฏิบัติขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมาให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา ให้มันเป็นจริงนะ

หลวงตาท่านพูดบ่อย ถ้าปฏิบัติ ทำแล้วไม่ได้ท่านจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้า ท่านพาไปฟ้องพระพุทธเจ้า ท่านพูดอย่างนี้บ่อย เพื่อปรารถนาว่า สัจธรรม ธรรมะมันมีอยู่จริง ทำไมพวกเราไม่ทำ อยากมั่งอยากมี อยากรวย อยากมีสมบัติ ใจอยู่กับตนแท้ๆ

เหมือนทำเหมืองทำไร่กัน เขาทำเพื่อประโยชน์ ไอ้ของเราอยู่กับเราแท้ๆ ใจอยู่กับเราแท้ๆ ทำไมไม่หา ทำไมไม่ค้นมัน ใจของเราแท้ๆ อยู่กับเราแท้ๆ แล้วจะให้ใครบอกล่ะ ทำเหมืองๆ กลางหัวอกเรา เราก็ต้องค้นคว้าของเราสิ ทำของเราขึ้นมาสิ แล้วค้นคว้าขึ้นมา ทำให้จริงขึ้นมา

เรียนเพื่อรู้ รู้ไว้คุยโม้ แต่ถ้าปฏิบัติจริงขึ้นมาแล้วเงียบ เงียบแบบใคร เงียบแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง จะสอนใครได้หนอ มันลึกลับซับซ้อน มันซับซ้อน มันซับซ้อนอยู่ใต้จิตสำนึกนั้น เวลาพูดก็ส่งออกไปเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องสสาร เวลาถ้ามันทวนกระแสกลับไปก็ทวนกระแสกลับไปถึงจิตใต้สำนึก

เวลาพูดเขาส่งออก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับ มันคนละเรื่องกันเลย เขาจะรู้ได้อย่างไร เขาจะรู้ได้อย่างไร ถ้ารู้จริงอยากจะเงียบ แต่มันเป็นการยืนยัน พระพุทธศาสนามันมีอยู่จริงไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้นไง ที่มันยืนยันก็ยืนยันเพื่อสัจธรรมอันนั้นไง สัจธรรมอันนั้นน่ะ อันนั้นของใครล่ะ ของใครทำคนนั้นก็ได้ ของใครทำก็อยู่ในใจของใจดวงนั้นน่ะ แล้วถ้ามันเป็นจริงแล้วเงียบ เอวัง